|
|
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - |
ผู้ประกาศพระวรสาร |
|||
พระศาสนจักรทั้งพระศาสนจักรมีหน้าที่เป็นธรรมทูต 59. การที่มนุษย์ประกาศพระวรสารในโลกนั้น เป็นการประกาศโดยคำสั่ง ในนามและอาศัยพระหรรษทานของพระคริสตเจ้าพระผู้ช่วยให้รอด นักบุญเปาโลซึ่งนับ
ว่าเป็นผู้ประกาศพระวรสารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งอย่างแน่นอนเขียนไว้ว่า จะมีผู้ประกาศสอนได้อย่างไรถ้าไม่มีใครส่งไป (รม 10 : 15) ไม่มีใครจะทำได้ เว้นแต่จะมีใครใช้ไป สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ตอบอย่างแจ่มแจ้งว่า พระคริสตเจ้าได้ทรงมอบหมายให้พระศาสนจักรมีหน้าที่ไปประกาศพระวรสารแก่มนุษย์ทุกรูปทุกนามทั่วพิภพ (คำแถลงเรื่องเสรีภาพในการถือศาสนา ข้อ 13; สังฆธรรมนูญเรื่องพระศาสนจักร ข้อ 5; สมณกฤษฎีกาเรื่องงานธรรมทูตของพระศาสนจักร ข้อ 1) และอีกตอนหนึ่ง พ ระศาสนจักรทั้งพระศาสนจักรมีหน้าที่เป็นธรรมทูต และงานประกาศพระวรสารเป็นที่ที่ขั้นมูลฐานแห่งประชากรของพระเป็นเจ้า (สมณกฤษฎีกาเรื่องงานธรรมทูตแห่งพระศาสจักร ข้อ 35) เราได้กล่าวถึงความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดระหว่างพระศาสนจักรกับการประกาศพระวรสารแล้ว เมื่อพระศาสนจักรประก
าศและตั้งพระราชัยของพระเป็นเจ้าขึ้นนั้นก็ปลูกฝังตนเองลงในกลางโลก เป็นเครื่องหมายและเครื่องมือของพระราชัยที่ดำรงอยู่ขณะนี้และกำลังจะมา สภาพระสังคายนาได้กล่าวย้ำคำอันมีความหมายลึกซึ้ง ซึ่งนักบุญเอากุสตินกล่าวถึงงานธรรมทูตของอั
ครธรรมทูตสิบสององค์ว่า เมื่อประกาศพระวาจาแห่งความจริงท่านเหล่านั้นก็ทำให้กลุ่มคริสตชนเกิดขึ้น 60. ข้อที่ว่าพระศาสนจักรถูกใช้และได้รับมอบหมายให้ไปประกาศพระวรสารทั่วพิภพนั้น ควรจะปลุกให้เรามีความเชื่อตระหนักสองประการ คือ ข้อ 1 การประกาศพระวรสารไม่ใช่กิจกรรมส่วนตัวและโดดเดี่ยวของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นกิจกรรมของพระศาสนจักรโด ยแท้ เมื่อผู้เทศน์ หรือผู้สอนคำสอนหรือผู้อภิบาลสัตบุรุษคนใดคนหนึ่ง แม้ที่ต่ำต้อยที่สุดในดินแดนที่อยู่ห่างไกลแสนไกล ประกาศพระวรสารพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์แม้เพียงคนเดียวนั้นเขาก็ประกอบกิจกรรมของพระศาสนจักร และการประกอบกิจกรรมนั้นนับรว มเข้ากับงานประกาศพระวรสารของพระศาสนจักร มิใช่ด้วยความเกี่ยวพันทางด้านสถาบันเท่านั้น แต่ด้วยสายสัมพันธ์ที่แลไม่เห็นและลึกซึ้งของพระหรรษทาน ด้วยที่กล่าวนี้หมายความว่า เขาประกอบกิจกรรมนั้นโดยมิได้ถือว่าเป็นภารกิจที่ตนต้องทำหรื อโดยความคิดอ่านของเขาเอง แต่โดยร่วมมือในภารกิจของพระศาสนจักรและในนามของพระศาสนจักร ข้อที่ 2 ถ้าหากแต่ละคนประกาศพระวรสารในนามของพระศาสนจักร และพระศาสนจักรเองก็ประกาศพระวรสารเพรา ะได้รับมอบหมายจากพระคริสตเจ้า ก็ไม่มีผู้ประกาศพระวรสารคนใดเป็นผู้มีสิทธิ์เด็ดขาดเหนืองานประกาศพระวรสารของตน พร้อมกับมีอำนาจที่จะประกาศพระวรสารตามกฎเกณฑ์และความเห็นของตน แต่จะต้องกระทำโดยมีความสนิทใกล้ชิดกับพร ะศาสนจักรและผู้อภิบาลพระศาสนจักร เราได้กล่าวแล้วว่า พระศาสนจักรทั้งพระศาสนจักรต้องเป็นผู้ประกาศพระวรสาร หมายความว่า พระศาสนจักรสำนึกว่าต้
องรับผิดชอบในหน้าที่ที่จะประกาศพระวรสารไปทั่วโลกและในทุกส่วนของโลกที่พระศาสนจักรตั้งอยู่ 61. พี่น้องและลูกทั้งหลาย เมื่อคิดไตร่ตรองมาถึงตรงนี้ เราใคร่พูดถึงปัญหาเรื่องหนึ่งซึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษในทุก วันนี้ คริสตชนในสมัยแรก เวลาประกอบพิธีกรรมก็ดี เวลาให้การต่อหน้าผู้พิพากษาและเพชฌฆาตก็ดี และเวลาเขียนหนังสือป้องกันความเชื่อก็ดี เขาชอบแสดงความเชื่อมั่นในพระศาสนจักร โดยขยายความว่าพระศาสนจักรแผ่ประกาศไปทั่วพิภพ เขามี ความสำนึกดีที่สุดว่าเขาอยู่ในกลุ่มชนใหญ่กลุ่มหนึ่ง ซึ่งทั้งระยะเวลาและระยะทางจำกัดขอบเขตมิได้ตามที่เขียนไว้ว่า ตั้งแต่อาเบลผู้ชอบธรรมจนถึงผู้เลือกสรรคนสุดท้าย (นักบุญเกรโกรี) จนถึงสุดปลายแผ่นดิน (กจ 1 : 8) จนสิ้นพิภพ (มธ 28:20) พระเป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้พระศาสนจักรเป็นเช่นนี้แหละ คือ ให้เป็นสากลเป็นต้นไม้ที่มีกิ่งให้นกมาพักอาศัย (เที
ยบ มธ 13 : 32) เป็นอวนที่จับได้ปลาทุกชนิด (เทียบ มธ 13 : 47-47) เป็นอวนที่เปโตรลากขึ้นมาติดปลาใหญ่ร้อยห้าสิบสามตัว (เทียบ ยน. 21: 11) เป็นฝูงแกะที่มีคนเลี้ยงคนเดียวนำไปเลี้ยง (เทียบ ยน. 10 : 1-16) รวมความว่า พระศาสนจักรเป็นสา
กล ไม่มีหลักเขต หรือเขตแดน นอกจากเขตแดนของจิตใจมนุษย์คนบาป 62. อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ พระศาสนจักรสากลนี้มีจุดกำเนิดจากพระศาสนจักรท้องถิ่นต่างๆ และพระศาสนจักรเหล่ านี้ก็ประกอบด้วยมนุษย์ส่วนนี้หรือส่วนนั้น พูดภาษานี้หรือภาษานั้น มีมรดกทางวัฒนธรรม มีโลกทัศน์ มีประวัติศาสตร์ และมีพื้นฐานองค์ประกอบของความเป็นมนุษย์ (Human Substratum) เป็นของตนเอง ความสนใจต่อสิ่งอันมีค่าของพระศาสนจักรท้ องถิ่นเหมาะสมกับความรู้สึกพิเศษของมนุษย์ในสมัยนี้ ขอให้เราระวังอย่าคิดว่าพระศาสนจักรสากลเป็นที่รวม หรือถ้าจะพูดได้ เป็นกลุ่มสมาคมของพระศาสนจักรท้องถิ่นที่มีต่ างๆ กันมากมาย อันว่าตามพระดำริของพระคริสตเจ้านั้น พระศาสนจักรเป็นสากลโดยกระแสเรียกและหน้าที่ แต่เมื่อตั้งอยู่ในท้องถิ่นที่มีวัฒนธรรม สังคมและมนุษย์ชนิดต่างๆ แล้ว พระศาสนจักรก็มีสีหน้าและอาการที่แสดงออกภายนอกต่าง ๆ กันในแต่ ละส่วนของโลก ดังนี้ ศาสนจักรท้องถิ่นใดจงใจตัดตัวเองออกจากพระศาสนจักรสากล ก็สูญเสียขาดความสัมพันธ์กับแผนการของพระเ
ป็นเจ้าและหมดความสำคัญลงในลักษณะที่เป็นของพระศาสนจักร แต่ในขณะเดียวกัน พระศาสนจักรที่กระจายไปทั่วโลก ถ้าไม่จับกลุ่มเป็นร่างมีชีวิตอาศัยบรรดาพระศาสนจักรท้องถิ่น ก็จะกลายเป็นแค่นามธรรม เราต้องตั้งใจสังเกตลักษณะสองประกา
รนี้ของพระศาสนจักรของความสัมพันธ์ดังกล่าว ระหว่างพระศาสนจักรสากลกับบรรดาคริสตจักรท้องถิ่น 63. พระศาสนจักรท้องถิ่นต่างๆ มิใช่ประกอบด้วยบุคคลเท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยความใฝ่ฝัน ความดีงาม และความบ กพร่อง วิธีภาวนา วิธีรักและวิธีพิจารณาชีวิตและโลกซึ่งทำให้แยกออกว่าเป็นกลุ่มชนนี้หรือกลุ่มชนนั้น พระศาสนจักรเหล่านี้มีหน้าที่ต้องเข้าใจแก่นสาระของพระวรสารให้ถ่องแท้ ต้องถ่ายทอดและถอดความเป็นภาษาที่กลุ่ม ชนเหล่านี้เข้าใจโดยไม่ผิดต่อความจริงที่เป็นแก่นแม้แต่น้อย แล้วก็ประกาศเป็นภาษานั้นๆ การถ่ายทอดและการถอดความนั้นจะต้องกระทำด้วยความสุขุม ความหนักแน่นความเคารพและความสามารถที่พึงมีใ นด้านพิธีกรรม คำสอน หลักเทวศาสตร์ กลุ่มคริสตชนและภาระรับใช้ต่างๆ และที่ใช้คำว่า ภาษา นั้นในที่นี้จะต้องเข้าใจในความหมายด้านมานุษยวิทยาหรือวัฒนธรรมยิ่งกว่าในความหมายด้านภาษาศาสตร์และวรรณคดี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การประกาศพระวรสารจะอ่อนกำลังและมีผลน้อยถ้าหากไม่คำนึ งถึงคนที่จะรับ ไม่ใช้ภาษา เครื่องหมายสำคัญและสัญลักษณ์ของเขา ไม่ตอบปัญหาที่เขาถามและไม่มีอิทธิพลเหนือชีวิตแท้จริงของเขา แต่อีกทางด้านหนึ่งการประกาศพระวรสารก็น่ากลัวจะไร้ผล ถ้าเมื่อการถ่ายทอดและถอดความคำสอนที่ประกาศออ กเป็นอีกภาษาหนึ่งนั้นเป็นไปในแบบทำให้เสียหรือผิดเพี้ยนความหมายไปโดยอ้างว่าให้ถูกภาษา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าอยาก นำสิ่งหนึ่งที่ใช้อยู่ทั่วไปมาดัดแปลงใช้ก็ดัดแปลงจนเปลี่ยนรูปไปหมด ทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำลายเอกภาพ ซึ่งเมื่อไม่มีเอกภาพ ความเป็นสากลก็หมดไป แท้จริง ก็เป็นเพียงคริสตจักรหนึ่งตระหนักถึงภาระอันเป็นสากลของตนไว้และแสดงออกว่าตนมีลักษณ ะเป็นสากลจริงๆ เป็นพระศาสนจักรหนึ่งเดียวนี้เองที่สามารถมอบสาระอันเป็นที่เข้าใจได้รับรู้แก่ทุกคนโดยไม่มีขอบเขต เมื่อคำนึงถึงความต้องการของพระศาสนจักรท้องถิ่นก็จะทำให้พระศาสนจักรเจริญวัฒนาขึ้นอย่างแน่นอนการแสดงควา
มเอาใจใส่เช่นนี้เป็นสิ่งจำเป็นรีบด่วน ทั้งตรงกับความใฝ่ฝันอันลึกซึ้งของชนชาติและกลุ่มชนต่าง ๆ ที่ปรารถนาจะเป็นตัวของเขาเองยิ่งๆ ขึ้น 64. แต่ความเจริญวัฒนานี้ เรียกร้องให้บรรดาพระศาสนจักรท้องถิ่นมีใจเปิดกว้างต่อพระศาสนจักรสากล อันที่จริงก็เป็ นที่น่าสังเกตทีเดียวว่า คริสตชนสามัญธรรมดา ที่ถือตามพระวรสารอย่างเคร่งครัด และมีความเข้าใจความหมายแท้ของพระวรสาร มีความรู้สึกอ่อนไหวที่เกิดขึ้นเองต่อความเป็นสากลนี้อย่างรุนแรงโดยสัญชาตญาณ รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในพระศาสนจักร สากล มีความรู้สึกนึกคิดอย่างเดียวกับพระศาสนจักรสากล และรู้สึกมีความทุกข์คับแค้นในใจ ถ้าหากจะมีใครมาอ้างทฤษฎีซึ่งเขาไม่เข้าอกเข้าใจบังคับเขาให้รับพระศาสนจักรที่ไม่มีสากลภาพ เป็นแต่ศาสนจักรประจำเขตแคว้นหนึ่ง และถูกจำกัดในกาลเวลา ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เราเห็นมาแล้วว่า ทุกครั้งที่ศาสนจักรท้องถิ่นใดแยกตัวออกและตัดจากศูนย์กลางของตนอันให้ ชีวิตและมองเห็นได้ ซึ่งบางทีก็ทำด้วยเจตนาดีมีข้ออ้างทางเทวศาสตร์ สังคมศาสตร์ การเมือง และอภิบาลศาสตร์ หรือทำเพร าะอยากมีความอิสระที่เคลื่อนไหวหรือปฏิบัติการได้บ้างนั้น ก็เป็นการยากนักยากหนาที่ศาสนจักรท้องถิ่นนั้นจะพ้น ถ้าเรียกได้ว่ าพ้นจากภัยที่ร้ายแรงเท่าๆ กันสองประการ คือ ภัยประการแรก น่ากลัวพระศาสนจักรนั้นจะอยู่โดดเดี่ยวเหี่ยวแห้ง แล้วมิช้าก็กร่อนผุไป เพราะแต่ละเซลแยกจากพระศาสนจักรนั้นเหมือนพระศาสนจักรแยกแกนกลาง และภัยอีกประการหนึ่ง น่ากลัวพระศา สนจักรนั้นจะสูญเสียเสรีภาพเพราะเมื่อถูกตัดจากศูนย์กลางและพระศาสนจักรอื่นๆ ซึ่งถ่ายทอดพลังและความเข้มแข็งให้แล้ว พระศาสนจักรนั้นก็ต้องเผชิญแต่เดียวดายกับกำลังที่กดขี่และเอาเปรียบนานาชนิด พระศาสนจักรท้องถิ่นใดยิ่งผูกพันกับพระศาสนจักรสากล ด้วยสายสัมพันธ์แห่งความสนิทใกล้ชิดโดยมีความรักและควา
มซื่อสัตย์-คือมีความนอบน้อมต่ออำนาจของนักบุญเปโตร มีกฎการภาวนา (Lex orandi) อันเดียวกัน ซึ่งเป็นกฎความเชื่อ (Lex credendi) ด้วยมีความห่วงใยที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระศาสนจักรอื่นๆ ซึ่งรวมกันสร้างสากลภาพขึ้น พระศาสนจั
กรนั้นก็ยิ่งสามารถที่จะแสดงความเชื่อออกมาเป็นแบบต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เช่น ประกาศความเชื่อ ภาวนาและคารวะพระเป็นเจ้าดำรงชีวิตและประพฤติแบบคริสตชน มีพลังฝ่ายจิตของประชาชน และยิ่งจะเป็นผู้ประกาศพระวรสารอย่างแท้จริงกล่าวคือ
รู้จักดึงเอาคำสอนอันเป็นมรดกส่วนรวมมาทำประโยชน์แก่ชนชาติของตน อีกทั้งถ่ายทอดประสบการณ์และชีวิตของชนชาตินั้นให้แก่พระศาสนจักรสากล เพื่อประโยชน์ของทุกคนถ้วนหน้า 65. ตามนัยที่กล่าวมานี้ เมื่อปิดการประชุมสมัชชาพระสังฆราชครั้งที่สาม เราจึงกล่าวความตอนหนึ่งอย่างแจ่มแจ้งแล
ะแสดงความรักฉันบิดา เน้นถึงเรื่องผู้สืบตำแหน่งของนักบุญเปโตรมีบทบาทเป็นรากฐานที่เห็นได้ ที่ให้ชีวิตและทรงพลังด้วยของเอกภาพระหว่างพระศาสนจักร และดังนี้จึงเป็นรากฐานของสากลภาพของพระศาสนจักหนึ่งเดียว (พระดำรัสของพระสันตะป
าปา เปาโลที่ 6 เมื่อเปิดประชุมสมัชชาพระสังฆราช วันที่ 26 ตุลาคม 1974) เรายังเน้นถึงความรับผิดชอบอันหนักซึ่งเราต้องแบก แต่พี่น้องพระสังฆราชของเราก็ร่วมแบกด้วยคือต้องรักษาข้อความเชื่อ ซึ่งพระคริสตเจ้าได้ทรงฝากกับบรรดาอัครธรรม
ทูตมิให้เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ข้อความเชื่อเหล่านี้ เมื่อแปลงออกไปเป็นภาษาต่างๆ แล้ว จะทำให้เสียความผิดแผกไปจากเดิมไม่ได้ อีกทั้งเมื่อได้รับการปรุงแต่งด้วยรูปลักษณ์อันเหมาะสมแก่แต่ละชาติ และเมื่อได้รับการอธิบายด้วยถ้อยคำเทวศาส
ตร์ที่คำนึงถึงวัฒนธรรม สังคม และเชื้อชาติต่างๆ แล้ว จะต้องคงเป็นข้อความเชื่อ อย่างที่พระศาสนจักรได้รับมอบสืบต่อๆ กันมา 66. ฉะนั้น พระศาสนจักรทั้งพระศาสนจักร มีหน้าที่ต้องประกาศพระวรสาร แต่ภายในพระศาสนจักรเองพวกเราก็มีงานประกาศพระวรสารแบบต่างๆ จะต้องทำ การ ที่มีงานหลายอย่างที่ต้องทำในเมื่อภารกิจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันดังนี้ ทำให้การประกาศพระวรสารมีความมั่งคั่งและเด่นเราจะกล่าวถึงงานที่ต้องทำเหล่านี้เพียงสั้นๆ ก่อนอื่น เราใคร่ชี้ให้เห็นในหน้าที่ของพระวรสารว่าพระคริสตเจ้าทรงมอบหน้าที่ให้บรรดาอัครธรรมทูตไปประกาศพระวรสารของพระเป็นเจ้า โดยทรงรบเร้าอย่างห
นักแน่นเพียงใด พระองค์ได้ทรงเลือกสรรเขา (เทียบ ยน 15 :16; มก 3 :13-19; ลก 6: 13-16) ได้ทรงอบรมเขาโดยอยู่ด้วยกันอย่างสนิทชิดใกล้เป็นเวลาสองสามปี (เทีย
บ กจ 1 : 21-22) ได้ทรงตั้ง (เทียบ มก 3:14) และใช้เขาไป (เทียบ มก 3 : 14-15; ลก 9: 2) มอบอำนาจให้เป็นพยานและผู้แจ้งสาส์นแห่งความรอด แล้วเมื่อถึงเวลาอัครธรรมทูตทั้งสอบสองก็ใช้ผู้สืบตำแหน่งต่อจากตนให้ไปประกาศข่าวดีสืบไป 67. ดังนี้ ตามน้ำพระทัยของพระคริสตเจ้า ผู้สืบตำแหน่งของนักบุญเปโตร ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่อันสูงยิ่งคือสอน ข้อความจริงที่พระทรงเผย พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวบ่อยๆ ว่าโปโตร เปี่ยมไปด้วยพระจิต พูดในนามของทุกคน (กจ 4:8; เทียบ กจ. 2 : 14; 3 : 12) ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาเลโอจึงกล่าวถึงนักบุญเปโตรว่าเป็นผู้ได้รับภาระหน้าที่เป็น หัวหน้าของพวกอัครธรรมทูตเสียงของพระศาสนจักรเองก็ชี้ให้เห็นว่า พระสันตะปาปาอยู่ในภาระหน้าที่สูงสุดของงานแพร่ธรรม สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ก็ยืนยันเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง เมื่อประกาศว่า ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง (เทียบ มก. 16:15) เป็นคำสั่งโดยตรงถึงบรรดาพระสังฆราชร่วมกับเปโตรและในการนำของเปโตร (สมณกฤษฎีกาเรื่องงานธรรมทูตแห่งพระศาสนจักร ข้อ 38) ดังนั้น อำนาจอันสมบูรณ์สูงสุดและทั่วไป (เทียบสังฆธรรมนูญเรื่องพระศาสนจักรข้อ 22) ซึ่งพระคริสตเจ้าทรงมอบให้ผ
ู้แทนพระองค์เพื่อปกครองพระศาสนจักรในด้านอภิบาลนั้น พระสันตะปาปาจึงทรงใช้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเทศนา และใช้คนไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอด 68. พระสังฆราชที่ร่วมสนิทและเป็นหนึ่งเดียวกับผู้สืบตำแหน่งของนักบุญเปโตรนั้น นับเป็นผู้สืบตำแหน่งของบรรดาอัค รธรรมทูตและเมื่อรับการอภิเษกเป็นสังฆราช ก็ได้รับอำนาจที่จะสอนความจริงที่พระเป็นเจ้าทรงไขแสดงในพระศาสนจักร บรรดาพระสังฆราชเป็นอาจารย์สอนเรื่องความเชื่อ ผู้ได้รับสมณศักดิ์เป็นผู้ร่วมงานกับพระสังฆราช (สังฆธรรมนูญเรื่องพระศาสนจักร ข้อ 10,37) ในภาระประกาศพระวร สารและมีส่วนร่วมในอำนาจ อาศัยตำแหน่งพิเศษเป็นตัวแทนพระคริสตเจ้า เป็นผู้อบรมประชากรของพระเป็นเจ้าในเรื่องความเชื่อ เป็นผู้เทศนาและในขณะเดียวกันก็เป็นผู้ถวายบูชาโมทนาคุณ (มิสซา) และศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ฉะนั้น พวกเราที่เป็นผู้อภิบาลสัตบุรุษ จะต้องสำนึกถึงหน้าที่ที่ยิ่งกว่าสมาชิกอื่นๆ ในพระศาสนจักร เรื่องที่ทำให้งานรับใ ช้ตามหน้าที่พระสงฆ์ของเรามีแต่ประการเดียวก็ดี เรื่องที่ทำให้งานร้อยแปดพันเก้าอย่างที่เราต้องทำตลอดวันและตลอดชีวิต ประสานเข้ากันอย่างลึกซึ้งก็ดี เรื่องที่ทำให้การปฏิบัติงานของเรามีลักษณะพิเศษเฉพาะก็ดี ทั้งหมดนี้นับเป็นจุดหมาย ซึ่งเรามีในกิจกรรมทุกอย่างคือ ประกาศข่าวดีของพระเจ้า (เทียบ 1 ธส 2:9) เครื่องหมายอย่างหนึ่งที่บอกว่าเราเป็นใครอย่างไม่มีที่สงสัยหรือโต้แย้งได้ ก็คือ ในฐานะเป็นผู้อภิบาลสัตบุรุษแม้เราไม่
คู่ควรก็ตามเราได้รับเลือก โดยพระมหากรุณาของพระผู้เป็นนายชุมพาบาลสูงสุด (เทียบ 1 ปต 5:4) ให้ประกาศพระวรสารของพระเป็นเจ้า รวบรวมประชากรที่แตกกระจัดกระจายของพระองค์ ชุบเลี้ยงประชากรนี้ด้วยศีลศักดิ์สิทธิ์อันชี้บ่งกิจการของพระค
ริสตเจ้าตั้งขึ้น นำเขาไปบนทางแห่งความรอดและพิทักษ์ไว้ในเอกภาพ ซึ่งเราเป็นเครื่องมือจริงที่ช่วยอย่างเข้มแข็งในระดับต่างๆ เป็นแรงบันดาลใจแก่กลุ่มชนนี้ที่ชุมนุมอยู่รอบพระคริสตเจ้าตามกระแสเรียกอันลึกล้ำของพวกเขา และเมื่อ
พวกเรา กระทำการต่างๆ เหล่านี้ตามขอบขีดความสามารถของเราและอาศัยพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าก็นับว่าเราทำการประกาศพระวรสาร พวกเรา
ในที่นี้หมายถึงตัวเรา ซึ่งเป็นนายชุมพาบาลแห่งพระศาสนจักรสากล หมายถึงพี่น้องพระสังฆราชของเรา ซึ่งเป็นหัวหน้าบรรดาพระศาสนจักรท้องถิ่น และยังหมายถึงบรรดาพระสงฆ์และสังฆานุกรที่เป็นผู้ร่วมมือ และร่วมสนิทกับพร
ะสังฆราชซึ่งการร่วมสนิทกันนั้นเกิดจากศีลบรรพชาและความรักของพระศาสนจักร 69.บรรดานักพรตใช้ชีวิตของเขาที่ถวายแด่พระเป็นเจ้านั้นเองเป็นเครื่องมืออย่างประเสริฐสำหรับการประกาศพระวรส ารอย่างได้ผล โดยความจริงที่สุดของชีวิตนักพรตพวกเขาพัวพันกับพลังดึงดูดของชีวิตพระศาสนจักร ซึ่งกระหายองค์สัมบูรณัต ต์ (Absolute) และถูกเรียกไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเป็นองค์พยานประกาศความศักดิ์สิทธิ์เพราะพวกเขาเป็นตัวแสดงถึงแรงบันดาลใจของพระศาสนจักรที่ปรารถนาจะอุทิศตนต่อคำเรียกร้องอันเข้มงวดของบุญลาภ(Beatitudes) ชีวิตของเขาเป็ นเครื่องชี้บอกว่า เขาสรรพพร้อมทุกอย่างเพื่อพระเป็นเจ้า พระศาสนจักรและพี่น้องมนุษย์ เมื่อเป็นดังนี้ บรรดานักพรตมีความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่องเป็นองค์พยานประกาศพระคริสตเจ้า ซึ่งเรื่องนี้เราก็ยืนยันแ ล้วว่ามีความสำคัญสุดยอดยิ่งในการประกาศพระวาร การเป็นองค์พยานประกาศพระคริสตเจ้าอย่างเงียบๆ โดยถือความยากจนและการอุทิศตนความบริสุทธิ์และความจริงใจ การพลีตนในความนบนอบเชื่อฟังเช่นนี้ในขณะเดียวกับที่เป็นเสียงร้องเตือนโ ลก และแม้พระศาสนจักรเองให้สังวรก็อาจเป็นการเทศนาอย่างไพเราะจับใจ แม้กระทั่งต่อคนที่มิใช่คริสตชนแต่มีน้ำใจดีและยังคงมีคุณธรรมในจิตใจอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เห็นได้ว่า นักพรตชายหญิงที่อุทิศตนในการภาวนา การถือเงียบ การใช้โทษบาปและการทำพลีกรรมนั้
น มีบทบาทในการประกาศพระวรสารอย่างไร แต่ยังมีนักพรตอื่นเป็นจำนวนมากที่อุทิศตนในการประกาศพระคริสตเจ้าโดยตรง แน่ละ งานธรรมทูตของเขาต้องขึ้นกับผู้ใหญ่ของพระศาสนจักรและต้องประสานกับแผนอภิบาลสัตบุรุษที่ผู้ใหญ่ของพระศาส
นจักรกำหนดไว้ แต่ใครเล่าที่จะมองไม่เห็นว่า นักพรตเหล่านี้ได้มีส่วนช่วยการประกาศพระวรสารอย่างใหญ่หลวง และยังคงกร
ะทำอยู่ทุกวันนี้ เนื่องจากได้ถวายตัวเป็นนักพรตเขาเป็นผู้อาสาสมัครชั้นยอด ไม่มีข้อขัดขวางใดในการสละทิ้งทุกสิ่งเพื่อไปประกาศพระวรสารจนสุดแดนพิภพ เขาเป็นคนขยันขันแข็ง และบ่อยครั้งงานแพร่ธรรมของเขาเป็นงานที่ทำโดยความริเริ่มของเ
ขาเอง เป็นงานฉลาดยอดเยี่ยมซึ่งใครๆ ต้องยกย่องพิศวง เขาเป็นผู้มีน้ำใจกว้างขวาง บ่อยครั้งอยู่จนถึงด่านหน้าของมิสซัง แล
ะกล้าเสี่ยงในที่มีภัยร้ายแรงต่อสุขภาพและแม้แต่ชีวิตของเขาเอง พระศาสนจักรเป็นหนี้บุญคุณนักพรตเหล่านี้อย่างมากมายโดยแท้ 70.ฆราวาสมีกระแสเรียกที่กำหนดให้เขาอยู่ในกลางโลกและต้องทำงานฝ่ายโลกซึ่งมีมากมายหลายอย่างต่างชนิด ฉะนั้นเขาต้องทำงานประกาศพระวรสารแบบพิเศษเฉพาะ งานใกล้มือที่มีให้เขาทำเป็นขั้นแรกนั้น ไม่ใช่การก่อตั้งและพัฒนากลุ่มคริสตชน นั่นเป็นหน้าที่ของผู้อภิบาลสัตบุรุษ แ
ต่เป็นการนำเอากำลังความสามารถทุกอย่างอันเป็นของพระคริสตเจ้า และขอพระวรสารออกมาใช้ กำลังความสามารถเหล่านั้นซ่อนเร้นอยู่แต่ออกฤทธิ์และมีแฝงอยู่ในกิจกรรมต่างๆ ของโลกแล้ว ที่ซึ่งฆราวาสจะทำการประกาศพระวรสารนั้น ก็คือ โลกก
ว้างและยุ่งยากแห่งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ความสัมพันธ์กันระหว่างชาติ สื่อมวลชน ตลอดจนกิจการอื่นบางเรื่องที่จะต้องปรับให้ถูกแนวพระวรสาร เช่น เรื่องความรักประสามนุษย์ ครอบครัว การอบรมเด็กและคนวั
ยรุ่น งานอาชีพ ความทุกข์ทรมาน ถ้าฆราวาสผู้ร่วมทำงานในเรื่องเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากจิตตารมณ์พระวรสาร ถ้าเขาสามารถเข้าใจดีถึงงานและแน่วแน่ในการนำพลังขององค์พระคริสตเจ้าที่หลายครั้งซ่อนเร้นและเงียบสงบในตัวพวกเขา ดังนี้แ
ล้วกิจกรรมของพวกเขาจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการเสริมสร้างพระราชัยของพระเป็นเจ้าและในการนำความหลุดรอดพ้นในองค์พระคริสต์ ดังนี้กิจกรรมฝ่ายโลกของพวกเขาสัมฤทธิ์ผลและไม่เสื่อมลงตรงกันข้ามกลับจะทำให้พวกเขาพบกับความ
สำเร็จอันสูงส่งในกิจการงานใหม่นี้ 71. ในงานแพร่ธรรมของฆราวาส จำเป็นต้องเน้นถึงอิทธิพลของครอบครัวในการประกาศพระวรสารด้วย ในประวัติศาสตร์ยุคต่างๆ ครอบครัวเคยได้รับสมญานามอันไพเราะว่า พระศาสนจักรในบ้าน และสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ว่าได้รับรองสมญานามนี้ ที่เรียกครอบครัวเป็น พระศาสนจักรในบ้าน เช่นนี้หมายความว่า ครอบครัวคริสตชนทุกครอบครัวมีลักษณะต่างๆ ทุกอย่างของพระศาสนจักรทั้งพระศาสจักร ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวก็เช่นเดียวกันกับพระศาสนจักรควรเป็นสถานที่มีการสืบทอดพระวรสารต่อๆ กันไป และจากสถานที่นี้พระวรสารจะส่องแสงแจ่มจรัสไปทั่วทุกแห่งหน ฉะนั้นในครอบครัวที่สำนึกถึงภาระหน้าที่นี้ สมาชิกทุกคนจึงทำการประกาศพระวรสารและรับการประกาศพระวรสารด้ว ย บิดามารดามิใช่เพียงสอนพระวรสารให้เข้าอย่างดื่มด่ำในชีวิตของลูกเท่านั้น แต่ยังจะรับการสอนพระวรสารแก่ตัวพวกเขาเองด้วย ครอบครัวแบบนี้ทำตนเป็นผู้ประกาศพระวรสารไปถึงครอบครัวอื่นๆ อีกมากมายและไปถึงแวดวงที่เขาอาศัยอยู่ด้วย แม้ครอบครัวที่เกิดจากการแต่งงานระหว่างชาวคาทอลิกกับคนถือคริสตศาสนนิกายอื่น ก็มีหน้าที่ต้องประกาศพระคริส
ตเจ้าแก่ลูกของตนด้วย เขายังมีหน้าที่อันหนักที่จะต้องสร้างความปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวให้เกิดขึ้นด้วย 72. ภาวการณ์ในปัจจุบันเตือนให้เรามีความเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อเยาวชน เยาวชนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จนต้องเป็นที่รับรู้ว่ามีพวกเขาในสังคม และมีปัญหายากต่างๆ สิ่งเหล่านี้ควรกระตุ้นให้มีค
วามห่วงใยและความกระตือรือร้นที่จะใช้สติปัญญาเสนออุดมคติของพระวรสารให้เขารู้และถือตามแต่อีกด้านหนึ่ง เยาวชนที่ได้รับการอบรมในความเชื่อและการภาวนามาแล้ว ก็ควรที่จะเป็นผู้แพร่ธรรมในหมู่เยาวชนด้วยกันเองให้มากยิ่งๆขึ้น พระศาส
นจักรหวังในความร่วมมือช่วยเหลือของพวกเยาวชนมาก และหลายครั้งหลายหน เราเองก็เคยแสดงว่ามีความไว้วางใจเขาอย่างเต็มที่ 73. เช่นนี้ การที่ฆราวาสปฏิบัติการอย่างเข้มแข็งอยู่ในโลกจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ควรจะละเลยหรือลืมคว ามเป็นจริงอีกด้านหนึ่งคือ ฆราวาสอาจรู้สึกตัวว่าถูกเรียกหรืออาจถูกเรียกเลยทีเดียวก็ได้ ให้มาทำงานร่วมมือกับพระสังฆราชสำหรับรับใช้เพื่อความเจริญวัฒนาของกลุ่มคริสตชน โดยปฏิบัติงานหน้าที่มากมายหลายอย่างต่างๆ กัน แล้วแต่พระหรรษทา นและพระพรพิเศษที่พระเป็นเจ้าประทานแก่เขา เรารู้สึกมีความปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นมีพระสังฆราช พระสงฆ์ นักพรตและฆราวาสจำนวนมากหลาย มีความรั กหลงใหลในงานประกาศพระวรสารพยายามหาวิธีที่เหมาะสมยิ่งๆ ขึ้นเพื่อประกาศพระวรสารอย่างได้ผล เราขอสนับสนุนการที่พระศาสนจักรแสดงความสรรพพร้อมด้วยความเอาใจใส่ในด้านนี้ คือสรรพพร้อมที่จะคิดไตร่ตรองก่อนแล้วสรรพพร้อมที่จะให้ มีงานหน้าที่บางอย่าง ที่สามารถกระตุ้นและชุบชูกำลังในการประกาศพระวรสารของพระศาสนจักร ความเป็นจริงที่ว่า ควบคู่กับงานหน้าที่ของผู้ได้รับสมณศักดิ์ขั้นต่างๆ คือบางคนได้เป็นพระสังฆราช พระสงฆ์และถวาย ตัวรับใช้ส่วนรวมเป็นพิเศษ พระศาสนจักรก็เห็นด้วยว่าควรมีงานหน้าที่ของผู้ที่มิได้รับแต่งตั้ง แต่สามารถจะทำการรับใช้พระศาสนจักรโดยเฉพาะได้ ถ้าเราพิจารณาดูกำเนิดเดิมของพระศาสนจักรสักเล็กน้อย ก็จะมีความเข้าใจและจะได้ผลประโยชน์จากประสบการณ์ใ นเรื่องงานหน้าที่ คือประสบการณ์นั้นมีค่ามาก เพราะทำให้พระศาสนจักรเข้มแข็ง เจริญและขยายกว้างออกไป แต่นอกจากสนใจพิจารณาอีกเรื่องหนึ่ง คือความต้องการในปัจจุบันของมนุษยชาติและของพระศาสนจักรด้วย พิจารณาหาความรู้จากต้นกำเ นิดของพระศาสนจักรซึ่งให้ความคิดเห็นดีเสมอ โดยไม่ยอมทิ้งอะไรที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งกับรู้จักปรับตัวให้เข้ากับความต้ องการและเรียกร้องในปัจจุบันนี้อีกอย่างหนึ่ง สองอย่างนี้แหละคือหลักสำคัญที่จะช่วยให้เราค้นหาอย่างฉลาดและค้นพบงานหน้าที่ซึ่งพระศาสนจักรต้องการ และสมาชิกหลายๆ คนในพระศาสนจักรยินดีและเข้ารับทำเพื่อส่งเสริมให้กลุ่มคริสตชนเข้มแข็งยิ่ งขึ้น งานหน้าที่เหล่านี้จะมีคุณค่าทางด้านอภิบาลสัตบุรุษมากน้อยตามส่วนที่จะตั้งขึ้นโดยพยายามรักษาเอกภาพ และเชื่อฟังคำแนะนำของพระสังฆราช ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบและผู้สร้างเอกภาพของพระศาสนจักรนั่นเอง งานหน้าที่เหล่านี้ดูภายนอกก็เป็นของใหม่ แต่ความจริงเกี่ยวพันอย่างที่สุดกับประสบการณ์ชีวิตของพระศาสนจักรตั้งแ ต่แรกเริ่มเดิมทีมาแล้ว เช่นหน้าที่ของผู้สอนคำสอน ผู้นำในการภาวนาและขับร้อง คริสตชนที่อุทิศตนในการประกาศพระวาจาและขับร้อง คริสตชนที่อุทิศตนในการประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้า หรือช่วยเหลือเพื่อพี่น้องมนุษย์ที่ขัดสน หัวหน้ากลุ่มค ริสตชนน้อยๆ ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับขบวนการแพร่ธรรมและผู้รับผิดชอบอื่นๆ หน้าที่เหล่านี้มีประโยชน์มากสำหรับปลูกฝัง ทำให้พระศาสนจักรมีอิทธิพลไปรอบข้าง และไปถึงคนที่แยกตัวไกลจากพระศาสนจักร เรายังขอแสดงความนิยมยกย่องเป็นพิเศษ ต่อบรรดาฆราวาสที่ยินดีอุทิศเวลา หรือกำลังส่วนหนึ่ง หรือแม้แต่ชีวิตทั้งชีวิต เพื่อทำการรับใช้มิสซัง ผู้ทำงานประกาศพระวรสารจำเป็นต้องได้รับการเตรียมตัวอย่างจริงจัง การเตรียมตัวเช่นนี้ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่อุ ทิศตนเพื่อทำการประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้า เมื่อตระหนักมากยิ่งขึ้นถึงความยิ่งใหญ่และความมั่งคั่งแห่งพระวาจาของพระเป็นเจ้าผู้ซึ่งมีหน้าที่ถ่ายทอดพระวาจานั้นจะต้องพยายามเอาใจใส่ใช้ภาษาพูดที่มีศักดิ์ศรี ถูกต้องชัดเจนและเหมาะสม ใค รๆ ก็ทราบดีว่าศิลปะในการพูดนั้นทุกวันนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ผู้เทศน์และผู้สอนคำสอนจะละเลยในเรื่องนี้กระไรได้ ในทุกๆ พระศาสนจักรท้องถิ่น เราปรารถนาอย่างร้อนแรงให้บรรดาพระสังฆราชเอาใจใส่สอดส่อง ให้ผู้ประกาศพระวรส ารของพระเป็นเจ้าได้รับการอบรมอย่างเหมาะสมทุกคน การเตรียมตัวอย่างจริงจังเช่นนี้ มิใช่แต่จะทำให้เขามีความมั่นใจเท่านั้น แต่จะทำให้เขามีความกระตือรือร้นที่จะประกาศองค์พระเยซูคริสตเจ้าในทุกวันนี้ด้วย |