|
|
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - |
วิธีการประกาศพระวรสาร |
|||
วิธีที่เหมาะสม 40. เมื่อเห็นอย่างแจ่มชัดแล้วว่าสาระของการประกาศพระวรสารมีความสำคัญ ก็ต้องเห็นเช่นเดียวกันว่า วิธีที่จะประกาศพระวรสารก็มีความสำคัญด้วย ปัญหาเรื่องจะประกาศพระวรสารอย่างไรนั้น ยังคงเป็นปัญหาที่ต้องขบคิดอยู่เสมอเพราะวิธีที่จะประกาศพระวรสารย่อมเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมต่างๆ เกี่ยว กับเวลา สถานที่ วัฒนธรรม และดังนั้น ตามสภาพแวดล้อมต่างๆ เหล่านี้ดูเหมือนท้าทายว่า เรามีความสามารถที่จะค้นพบและดัดแปลงวิธีการหรือไม่ เป็นหน้าที่โดยเฉพาะของพวกเรา ผู้อภิบาลสัตบุรุษในศาสนจักร ที่จะต้องถือตามสาระของการประกาศพระวรสารอย่างเคร่งครัด อีกทั้งมีความกล้าและฉลาดที่จะค้น
หาวิธีอันเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสำหรับถ่ายทอดสาระของพระวรสารถึงคนในสมัยของเราในข้อคิดเห็นนี้ เราเพียงแต่จะชี้วิธีการบางอย่าง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดมิใช่ด้วยเหตุใดก็ด้วยเหตุหนึ่ง 41. เราจะไม่กล่าวย้ำเรื่องที่ได้พูดมาข้างต้นแล้ว แต่ก่อนอื่นเห็นควรเน้นเรื่องต่อไปนี้ คือ พระศาสนจักรถือว่า วิธีประกา
ศพระวรสารวิธีแรก คือ เป็นองค์พยานประกาศพระคริสตเจ้าด้วยการดำรงชีวิตแบบคริสตชนอย่างแท้จริง เป็นชีวิตที่อุทิศถวายแ
ด่พระเป็นเจ้า พร้อมด้วยความสนิทใกล้ชิดซึ่งไม่มีสิ่งใดจะทำลายได้ และในขณะเดียวกันก็เป็นชีวิตที่อุทิศมอบให้แก่เพื่อนมนุ
ษย์ด้วยความร้อนรนอย่างไม่มีขอบเขต เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้กล่าวแก่ฆราวาสกลุ่มหนึ่งว่า คนสมัยนี้เต็มใจฟังพยานผู้รู้เห็นยิ่งก
ว่าฟังครู หรือถ้าเขาฟังครู ก็เพราะครูเป็นพยานรู้เห็นด้วย นักบุญเปโตรกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างน่าจับใจ เมื่อท่านยกตัวอย่างชีวิต
ที่บริสุทธิ์ไม่มีที่ติ ซึ่งแม้ไม่พูดสักคำเดียวก็สามารถชนะแม้แต่ใจของคนที่ไม่ยอมเชื่อพระวาจาของพระเป็นเจ้า (เทียบ 1 ปต
3:1) ดังนั้นพระศาสนจักรจะประกาศพระวรสารในโลกก่อนอื่นก็ด้วยความประพฤติและแบบดำรงชีวิต คือด้วยการเป็นพยานประกาศพระเยซูคริสตเจ้า โดยถือความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยถือความ
ยากจนและความไม่มีใจผูกพันกับโลกโดยไม่แสดงความสะทกสะท้านต่ออำนาจของโลกนี้ พูดสั้นๆ แต่คำเดียวว่า โดยถือความศักดิ์สิทธิ์ 42. ต่อไป เป็นการสมควรที่จะเน้นถึงความสำคัญและความจำเป็นของการเทศนาที่นักบุญเปาโล กล่าวว่า จะเชื่อได้อย่างไรถ้าไม่เคยได้ยิน จะได้ยินได้อย่างไรถ้าไม่มีใครประกาศสอน...ดังนั้นความเชื่อจึงมาจากการ ฟัง สิ่งที่ได้ฟังก็มาจากพระวาจาของพระคริสตเจ้า (รม 10 : 14,17) แท้จริง การเทศนา หรืออีกนัยหนึ่งการประกาศสาระด้วยคำพูดนี้ เป็นสิ่งจำเป็นซึ่งจะละเว้นเสียมิได้ เราทราบดีว่า คนสมั
ยนี้ซึ่งเคยได้ยินการพูดการปราศรัยจนเบื่อแล้วแสดงให้เห็นบ่อยๆ ว่าเบื่อหน่ายที่จะได้ยินใครพูด และที่ร้ายกว่านั้น เป็นคนหูด้า
นไม่ได้ยินคนอื่นพูด เรายังทราบอีกว่า นักจิตวิทยา และนักสังคมวิทยาหลายคนมีความเห็นว่า มนุษย์สมัยนี้ได้ผ่านพ้นยุคใช้คำ
พูดซึ่งไร้ผลและไร้ประโยชน์ไปแล้วและทุกวันนี้กำลังอยู่ในยุคนิยมรูปภาพ พฤติการณ์เหล่านี้ควรกระตุ้นเราให้ใช้วิธีทันสมัย ซึ่
งในยุคนี้ผลิตขึ้นใช้ในการถ่ายทอดสาระของพระวรสาร อันที่จริง ได้มีผู้พยายามในเรื่องนี้อย่างมีผลดีมาแล้ว เราก็ได้แต่สรรเส
ริญและเตือนให้พยายามมากยิ่งๆ ขึ้น อย่างไรก็ตาม ความเหน็ดเหนื่อยซึ่งเกิดจากการพูดอย่างมากมายเสียเปล่าในทุกวันนี้ กับการที่มีสื่อมวลชนเป็นอันมากนั้นไม่ควรทำให้เราคิดว่าอำนาจของคำพูดลดน้อยลง หรือทำให้หมดความไว้ใจในคำพูดนั้น คำ
พูดยังคงเหมาะกับยุคของเราอยู่เสมอ เป็นต้นว่าถ้าคำพูดนั้นมีอำนาจของพระเป็นเจ้าอยู่ (เทียบ 1 คร 2 : 1-5) ด้วยเหตุนี้ หลั
กความจริงของนักบุญเปาโลที่ว่า ความเชื่อขึงมาจากการฟัง (รม 10 :17) จึงเป็นความจริงที่เหมาะกับยุคด้วย : พระวาจาที่ได้ยินนั้นจะชักจูงให้เชื่อ 43. การเทศนาประกาศพระวรสารนี้มีเป็นหลายแบบ ความกระตือรือร้นจะดลใจให้คิดแบบต่างๆ ขึ้นแทบจะไม่มีสิ้นสุด อันที่จริงในชีวิตของมนุษย์พบเหตุการณ์และสภาพการณ์มากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งเป็นโอกาสให้เทศน์สอนอย่างระมัดระวังแต่ชัดเจน เพียงแต่มีจิตใจรู้สึกไวเท่านั้นก็สามารถอ่านเหตุการณ์ต่างๆ ออกว่าพระเจ้าใคร่บอกอะไร แต่ในเมื่อพิธีกรรมที่สภาพพระสั งคายนาปรับปรุง ถือว่าวจนพิธีกรรมมีค่ามาก ก็น่าจะเป็นความหลงผิด ถ้าเราไม่เห็นว่าการเทศนาเป็นอุปกรณ์ที่มีค่าและเหมาะยิ่งสำหรับประกาศพระวรสาร จำเป็นต้องรู้ว่าการเทศนาเรียกร้องให้ทำอะไรและสามารถทำอะไรได้บ้าง แล้วรู้จักใช้ความรู้นั้ นให้เพิ่มประโยชน์ การเทศนาก็จะเกิดผลดีในด้านอภิบาลสัตบุรุษมากที่สุด แต่โดยเฉพาะเราจะต้องมีความมั่นใจและอุทิศตนในเรื่องนี้ด้วยความรัก การเทศนาซึ่งแทรกใส่ไว้ในพิธีมิสซาและได้รับพลังความเข้มแข็งเป็นพิเศษจากพิธีนี้ แน่นอนต้องมีบทบาทเป็นพิเศษใ นการประกาศพระวรสาร มากน้อยตามส่วนที่แสดงความเชื่อมั่นของผู้แสดงพระธรรมเทศนาและตามส่วนที่ซึมซาบไปด้วยความรัก สัตบุรุษในรูปแบบของพระศาสนจักรปัสกาฉลองพระคริสตเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่ามกลางเรานั้น มีความหวังจากการเทศน านี้มาก และความจริงก็ได้รับผลมากมาย เพียงแต่ว่าการเทศนานั้นจะต้องเป็นไปอย่างซื่อๆ แจ่งแจ้ง พูด ตรงๆ ดัดแปลงให้เหมาะยึดมั่นในคำสอนของพระวรสารและซื่อสัตย์ต่ออำนาจในการสอนของพระศาสนจักร ได้รับการชี้แนะจากความเร่าร้อนประก าศพระวรสาร ซึ่งเกิดจากลักษณะเฉพาะของตัวเอง เปี่ยมไปด้วยความหวัง ส่งเสริมความเชื่อสร้างสันติและเอกภาพ การที่กลุ่มสังฆตำบลมากมายและกลุ่มอื่นๆ อีกดำรงอยู่อย่างมั่นคงเข้มแข็งนั้น ก็เพราะได้อาศัยการเทศน์ทุกวันอาทิตย์ แต่การเทศน์จะ ต้องมีลักษณะต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ขอเสริมว่า เนื่องจากพิธีกรรมได้รับการปรับปรุงใหม่พิธีมิสซาจึงไม่ใช่เวลาเดียวที่เหมาะสำหรับการเทศน์ การเทศน์ยัง
ควรจะกระทำ และไม่ควรละเลยในการประกอบพิธีศีลอื่น ๆ หรือในระหว่างพิธีต่าง ๆ เมื่อ (ทุกๆ ครั้ง) การประชุมสัตบุรุษ การเทศน์จะเป็นโอกาสอันดียิ่งเสมอสำหรับถ่ายทอดพระวาจาของพระเป็นเจ้า 44. วิธีอย่างหนึ่งที่ไม่ควรละเลยเสีย ในการประกาศพระวรสารก็คือการแปลคำสอน อันสติปัญญาโดยเฉพาะสติปัญญาข องเด็กและบรรดาวัยรุ่นนั้น ต้องการจะเรียนรู้ข้อคำสอนที่เป็นพื้นฐานและข้อความจริงต่างๆ ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงไขแสดง และ พระศาสนจักรพยายามบรรยายให้เข้าใจยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมาในประวัติศาสตร์ และเขาต้องการเรียนรู้ ดังนี้โดยมีผู้สอนให้อย่ างมีแบบแผน การสอนเช่นนี้จะต้องสอนเพื่ออบรม ให้มีความเคยชินในชีวิตคริสตชนไม่ใช่เพื่อให้เป็นความรู้ไว้เฉยๆ ข้อนี้คงไม่มีใครเถียง ไม่ต้องสงสัย ความพยายามประกาศพระวรสารจะเกิดผลดีมากด้วยการสอนคำสอนในโบสถ์ ในโรงเรียน ในที่ที่ท ำได้หรืออย่างน้อยในครอบครัวคริสตชน ถ้าผู้สอนคำสอนมีตำราที่เหมาะ แต่งให้เข้ากับยุคอย่างรอบครบและถูกต้องในความควบคุมของพระสังฆราช วิธีสอนที่ใช้ต้องดัดแปลงให้เหมาะกับอายุความรู้และความสามารถของบุคคลพยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะจารึกข้อความจ
ริงสำคัญที่จะซึมซาบเข้าทั้งชีวิตลงไปในความทรงจำ สติปัญญาและหัวใจ โดยเฉพาะต้องเตรียมผู้สอนที่ดี ได้แก่ คุณครูคำสอน
ประจำวัด ครูและพ่อแม่ซึ่งปรารถนาจะฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญในวิชานี้ ซึ่งเป็นวิชาที่จำเป็น และต้องมีความรู้ในวิชาคำสอน
ซึ่งเป็นวิชาประเสริฐจริง ๆ วิชาซึ่งจำเป็น และวิชาซึ่งเรียกร้องการเสียสละมากด้วย อีกประการหนึ่ง ขณะที่เราไม่ควรละเลยกา
รอบรมเด็ก เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เป็นการเร่งด่วนกว่าที่จะต้องทำ แบบสอนสำหรับผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาป คือ สอนคำสอนแก่คนหนุ่มสาว และผู้ใหญ่ที่อาศัยพระหรรษทานช่วย ค่อย ๆ มองเห็นพระพักตร์ของพระคริสตเจ้า และรู้สึกต้องการจะ
ถวายตัวแต่พระองค์ 45. ในศตวรรษของเรา ที่สื่อมวลชนเจริญเฟื่องฟูมาก การประกาศพระวรสารครั้งแรกก็ดี การแปลคำสอนก็ดี หรือการส
อนให้มีความเชื่อลึกซึ้งในภายหลังก็ดี จะไม่พึ่งเครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ไม่ได้ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้อุปกรณ์สื่อมวลชนเพื่อประกาศพระวรสารมีเรื่องท้าทายอยู่ประการหนึ่ง คือ อาศัยอุปกรณ์เหล่านี้ ส
าระของพระสรสารต้องไปถึงคนเป็นจำนวนมากๆ แต่ต้องสามารถจี้มโนธรรมของแต่ละคน สามารถเข้าไปถึงใจของแต่ละคน เหมือนกับตนได้รับด้วยตนเอง ทั้งต้องช่วยให้สามารถรับความสมัครใจเห็นพ้อง ซึ่งเป็นของส่วนตัวแท้ ๆ ได้ 46. เพราะฉะนั้น นอกจากการประกาศพระวรสารในรูปทั่วๆ ไปแล้ว การถ่ายทอดพระวรสารอีกแบบหนึ่ง คือ ถ่ายทอดแ
บบตัวต่อตัวก็ใช้ได้และสำคัญ พระคริสตเจ้าก็ทรงใช้การถ่ายทอดแบบนี้อยู่บ่อย ๆ เช่น ทรงสนทนากับนีโคเดมัส ซักเคียส หญิงชาวสะมาเรีย ซีโมนชาวฟาริสี บรรดาอัครธรรมทูตก็เคยเช่นเดียวกัน ถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้ว จะมีวิธีถ่ายทอดพระวรสารอย่าง
อื่นดีกว่าถ่ายทอดประสบการณ์ที่ได้รับจากความเชื่อให้แก่อีกคนหนึ่งหรือ ถึงแม้การประกาศข่าวประเสริฐแก่คนจำนวนมาก ๆ เป็นเรื่องรีบด่วน เราก็ไม่ควรลืมการประกาศแบบตัวต่อตัวดังกล่าว เมื่อใช้การประกาศแบบนี้ มโนธรรมของคนคนหนึ่งถูกสะกิ
ดและปลุกด้วยถ้อยคำพิเศษของคนอีกคนหนึ่ง พระสงฆ์ที่เวลาฟังแก้บาปก็ดี หรือเวลาทำการอภิบาลสัตบุรุษก็ดี พร้อมที่จะนำมนุษย์ไปบนทางพระวรสาร เตือนให้มั่นคงในความพยายามพยุงให้ลุกขึ้นถ้าเขาหกล้มตกลงในบาป และช่วยเหลืออยู่เสมอด้วยค
วามสุขุมและสรรพพร้อมพระสงฆ์เช่นนี้ เราไม่ทราบจะสรรเสริญอย่างไรจึงจะจุใจ 47. อย่างไรก็ตาม เราจะเน้นอย่างไรก็ไม่พอว่า การประกาศพระวรสารไม่ใช่อยู่ที่การประกาศและสอนคำสอนเท่านั้น เ พราะการประกาศพระวรสารต้องมุ่งถึงชีวิต คือชีวิตธรรมชาติซึ่งการประกาศพระวรสารทำให้มีความหมายใหม่บนรากฐานของความหวังและการรอคอยที่พระวรสารเผยให้ทราบ กับชีวิตเหนือธรรมชาติซึ่งมิใช่เป็นสิ่งทำลายชีวิตธรรมชาติแต่เป็นสิ่งชำระล้ างและแยกให้สูงขึ้น ชีวิตเหนือธรรมชาตินี้แสดงออกมาให้ศีลศักดิ์สิทธิ์เจ็ดประการ ที่แผ่แสงแห่งพระหรรษทานและความศักดิ์สิทธิ์ของศีลทั้งเจ็ดประการนั้น ดังนี้ การประกาศพระวรสารก็แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งเมื่อทำให้เกิดความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิด หรืออีกนัยหนึ่งสายใ
ยที่ไม่ขาดระหว่างพระวาจาของพระเป็นเจ้ากับศีลศักดิ์สิทธิ์ อันที่จริง การถือว่าการประกาศพระวรสารไม่เกี่ยวกับการอภิบาลศี
ลศักดิ์สิทธิ์อย่างที่มีความถือเช่นนั้นก็นับว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะความจริงมีว่า การอภิบาลศีลศักดิ์สิทธิ์โดยปราศจากพื้นฐ
านอันมั่นคงเกี่ยวกับศีลนี้หรือความรู้ทางคำสอนทั่วไป ย่อมทำให้ศีลศักดิ์สิทธิ์เกิดผลแต่น้อย บทบาทของการประกาศพระวรสา
รก็คืออบรมให้มีความเชื่อ จนถึงกับความเชื่อนั้นจะชักนำคริสตชนแต่ละคนให้เจริญชีวิตศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายแท้แห่งความเชื่อ มิใช่รับศีลนั้น ๆ โดยไม่รู้ร้อนรู้เย็น 48. บัดนี้ เราพิจารณามาถึงการประกาศพระวรสารด้านหนึ่งซึ่งเราจะนิ่งเฉยเสียมิได้ เราใคร่กล่าวถึงสิ่งซึ่งทุกวันนี้มีค
นเรียกบ่อย ๆ ว่า เป็นความเชื่อศรัทธาของสัตบุรุษ ความเชื่อศรัทธาของสัตบุรุษต้องมีขอบเขตอย่างแน่นอน มีอยู่บ่อยๆ ที่ความเชื่อศรัทธาดังกล่าวปล่อยให้มีการทำเสียโฉ
มหน้าพระศาสนา และแม้แต่การถือนอกรีตมีอยู่บ่อยๆ เหมือนกันที่ความเชื่อศรัทธาดังกล่าวเป็นแต่รูปแบบของการกราบไหว้บูชาอันไม่เกี่ยวข้อกับความเชื่ออันแท้จริง แต่ก็อาจเป็นเหตุทำให้เกิดลัทธิ และทำให้กลุ่มพระศาสนจักรแท้ได้รับอันตรายได้
ความรักในด้านอภิบาลสัตบุรุษจะต้องแนะบรรดาผู้ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงตั้งให้เป็นหัวหน้ากลุ่มคริสตจักร ให้คิดหากฎเก
ณฑ์ที่จะต้องถือต่อเรื่องนี้ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลดีหรือเป็นภัยคุกคามก็ได้ ก่อนอื่นอย่านิ่งดูดาย ต้องรู้ว่าความเชื่อศรัทธาของสัตบุ
รุษนี้มีความหมายในอะไรและมีคุณค่าที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นไร และต้องพร้อมที่จะช่วยให้พ้นจากภัย คือภัยที่จะถูกนำออกนอกลู่นอกทางไป ถ้าได้รับการนำไปในทางที่ถูก ความเชื่อศรัทธาของสัตบุรุษนี้อาจเป็นช่องทางให้มวลสัตบุรุษของเราได้พบกับพระเป็
นเจ้า ในองค์พระเยซูคริสตเจ้าก็ได้ |