ประกาศพระวรสารในโลกปัจจุบัน

Evangelii Nuntiandi

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

พระคริสตเจ้าเคยประกาศพระวรสารฉันใด
พระศาสนจักรรับหน้าที่ประกาศพระวรสารฉันนั้น

คำประกาศยืนยันและภารกิจของพระเยซูเจ้า

6. การที่พระเยซูเจ้าได้ทรงยืนยันถึงพระองค์เอง และนักบุญลูกาได้บันทึกไว้ในพระวรสารของท่านว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เ มืองอื่นด้วย” (ลก 4 : 43) นั้นต้องนับอย่างไม่สงสัยว่ามีความสำคัญมากทีเดียว เพราะเป็นคำสรุปภารกิจทั้งหลายของพระเยซูเจ้าตามที่พระองค์ตรัสว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย” (ลก 4:43) พระวาจาดังกล่าวมีความหมายอย่างสมบูรณ์ถ้าเรานำมาเทียบกับถ้อยคำในข้อข้างหน้าในพระวรสารซึ่งพระคริสตเจ้าตรัสว่า คำพูดของประกาศกอิสยาห์เป็นคำพูดที่ได้กับพระองค์ท่านเองคือคำพูดที่ว่า “พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า  เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ” (ลก 4 : 18; อสย 61:1)

ภารกิจที่พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า พระบิดาทรงใช้พระองค์ให้มาปฏิบัติก็คือ นำข่าวอันน่ายินดีที่ว่าพระสัญญาต่างๆ และพันธสัญญาซึ่งพระเป็นเจ้าทรงเสนอ ได้เป็นอันสำเร็จไปแล้ว ไปประกาศในเมืองต่างๆ โดยเฉพาะแก่บรรดายาจกเข็ญใจ ซึ่งโดยมากมักจะเป็นคนที่ต้อนรับดีกว่าคนพวกอื่น และกิจการทุกอย่างที่นับเป็นอัตถ์ล้ำลึกเกี่ยวกับพระองค์ เช่น การเสด็จอวตารเป็นมนุษย์ การทำอัศจรรย์ต่างๆ การสั่งสอน การรวบรวมสานุศิษย์ การใช้สาวกสิบสองคนไปเทศนา การสิ้นพระชนม์บนกางเขนและการกลับคืนชีพ การประทับอยู่ท่ามกลางศิษย์ของพระองค์ตลอดไปเหล่านี้ล้วนนับรวมอยู่ในงานประกาศพระวรสารของพระองค์ทั้งสิ้น

พระเยซูเจ้าเป็นผู้ประกาศพระวรสารองค์แรก

7. ในระหว่างประชุมสมัชชา บรรดาพระสังฆราชเตือนให้ระลึกถึงความจริงข้อนี้บ่อยๆ ว่า : พระเยซูเจ้าเองซึ่งเป็นองค์ข่าวประเสริฐของพระเป็นเจ้า (เทียบ มก 1 : 1; รม 1:1-3) ก็ทรงเป็นผู้ประกาศพระวรสารจนถึงที่สุด อย่างดีล้ำเลิศ จนถึงกับทรงยอมพลีพระชนม์ชีพมนุษย์

ที่ว่า “จงประกาศพระวรสาร” นั้น มีความหมายอะไรสำหรับพระคริสตเจ้า ไม่ใช่ของง่ายแน่ที่จะแสดงในสังเคราะห์(Synthesis) ที่ทำอย่างครบถ้วนว่า การประกาศพระวรสารอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงเข้าพระทัยและทรงปฏิบัตินั้นมีความหมายว่ากระไร และจะกระทำด้วยวิธีอะไรบ้าง อันที่จริงสังเคราะห์แบบนี้ทำได้ไม่รู้จักจบ เราจะกล่าวถึงการประกาศพระวรสารในบางแง่บางมุมที่สำคัญก็เพียงพอแล้ว

ประกาศพระราชัยของพระเป็นเจ้า

8. ก่อนอื่นในฐานะผู้ประกาศพระวรสาร พระคริสตเจ้าทรงประกาศพระราชัยของพระเป็นเจ้า พระราชัยของพระเป็นเจ้านั้นมีความสำคัญมาก สำคัญจนว่าเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว สิ่งอื่นทั้งหมดก็กลายเป็น “พระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้”(เทียบ มธ 6:33)ด้วยเหตุนี้พระราชัยของพระเป็นเจ้าแต่สิ่งเดียวเท่านั้นเป็นสิ่งที่สมบูรณ์อย่างสูงสุดและทำให้ของทุกสิ่งนอกนั้นลดหลั่นไป พระคริสตเจ้าพอพระทัยตรัสเป็นรูปต่างๆ มากมาย บรรยายถึงความสุขที่จะได้เข้าอยู่ในพระราชัยนี้ ซึ่งที่จริงเป็นความสุขที่ประกอบอย่างน่าแปลกใจ ด้วยสิ่งต่างๆ ที่โลกประณามว่าไม่ดี (เทียบ มธ 5 :3-12) พระองค์ทรงขยายความข้อเรียกร้องของการเข้าพระราชัยต้องถือกฎข้อบังคับและพระธรรมอะไร บ้าง(เทียบ มธ 5-7) ผู้ประกาศพระราชัยต้องประพฤติอย่างไร (เทียบ มธ 10) พระราชัยมีอัตถ์ล้ำลึกอะไรบ้าง (เทียบ มธ 13) ใครจะได้เข้าในพระราชัยนี้ (เทียบ มธ 18) ผู้ที่คอยให้พระราชัยมาถึงในขั้นสุดท้ายจะต้องตื่นเฝ้าและซื่อสัตย์ (เทียบ มธ 24 – 25)

ประกาศการกอบกู้ช่วยให้รอด

9. แก่นและสาระสำคัญของข่าวประเสริฐก็คือ พระคริสตเจ้าประกาศการกอบกู้ช่วยให้รอดอันเป็นพระคุณใหญ่หลวงของพระเป็นเจ้า ซึ่งช่วยให้พ้นจากทุกสิ่งที่กดขี่มนุษย์ โดยเฉพาะช่วยให้พ้นจากบาปและเจ้ามารร้าย มีความชื่นชมปิติที่รู้จักพระเป็นเจ้า และชื่นชมปิติที่พระเป็นเจ้ารู้จักตนชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นพระเป็นเจ้าและที่ได้พบความพักผ่อนด้วยความวางใจในพระองค์ การณ์ทั้งหมดนี้ได้เริ่มอุบัติตั้งแต่เมื่อพระคริสตเจ้าขณะดำรงพระชนม์อยู่ในโลกและได้เป็นอันสำเร็จเด็ดขาดไปเมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพ แต่จะต้องดำเนินด้วยความอดทนต่อไปในประวัติศาสตร์ เพื่อจะเป็นอันสำเร็จอย่างสมบูรณ์ในวันที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จมาเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งวันนั้นเป็นวันใดไม่มีใครทราบ นอกจากพระบิดาเจ้า (เทียบ มธ 24:36; กจ 1 : 17; 1 ธส 5: 1-2)


ต้องพยายามด้วยความวิริยะอุตสาหะ

10. พระราชัยและความรอด ซึ่งเป็นคำหลักที่พระเยซูเจ้าทรงใช้ในการประกาศพระวรสาร ทุกคนรับเป็นพระคุณและพร ะเมตตาของพระเป็นเจ้าได้ แต่ในขณะเดียวกันแต่ละคนจะต้องพิชิตเอาด้วยกำลัง (ตามที่พระคริสตเจ้าตรัสว่าผู้ที่ออกแรงชิงเอาได้ เทียบ มธ 11 : 12; ลก 16 : 16) ด้วยความทำงานหนักและทนทุกข์ทรมาน ด้วยการดำรงชีวิตตามพระวรสารด้วยการสลัด ทิ้งน้ำใจของตน ด้วยการแบกกางเขนและด้วยการมีจิตตารมณ์ของบุญลาภ (Beatitudes) แต่ก่อนอื่นทั้งปวง แต่ละคนจะต้องพิชิตเอาพระราชัยและความรอดด้วยการเปลี่ยนแปลงภายในใจอย่างสิ้นเชิง ซึ่งพระวรสารเรียกว่า “เมตาโนยา” (Metanoia) แปลว่า การกลับตัวอย่างสิ้นเชิง การเปลี่ยนทัศนคติและจิตใจอย่างลึกซึ้ง (เทียบ มธ 4 : 17)

เทศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

11.พระคริสตเจ้าป่าวประกาศพระราชัยของพระเป็นเจ้าด้วยการร้องประกาศถ้อยคำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ซึ่งจะมีผู้ก ล่าวว่า ไม่มีถ้อยคำอื่นใดจะเปรียบเสมอเหมือน เช่น “เป็นคำสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง” (มก 1:27) “ทุกคนสรรเสริญพระองค์ และต่างประหลาดใจในถ้อยคำน่าฟังที่พระองค์ตรัส” (ลก 4: 22) “ไม่มีคนใดพูดจาเหมือนกับชายผู้นี้เลย” (ยน 7 : 46)  เป็นอันว่าพระวาจาของพระองค์เผยความลับ แผนการและคำสัญญาของพระเป็นเจ้า แล้วดังนั้นจึงเปลี่ยนจิตใจและโชคชะตาของมนุษย์

เทศนาด้วยการทำอัศจรรย์ที่เล่าในพระวรสาร

12. แต่พระคริสตเจ้ายังประกาศพระราชัยของพระเป็นเจ้าด้วยการทำอัศจรรย์เหลือคณนานับ ซึ่งทำให้ฝูงชนตกตลึงพรึ งเพริดและในขณะเดียวกันก็ชักนำเขาให้มาดูพระองค์ฟังและรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจจากพระองค์ เช่น คนเจ็บหายจากโรค น้ำกลายเป็นเหล้าองุ่น ขนมปังทวีเพิ่มขึ้นคนตายกลับเป็นขึ้นมา และในเครื่องหมายสำคัญเหล่านี้มีอยู่ประการหนึ่งซึ่งพระองค์ทร งถือว่ามีความสำคัญมาก กล่าวคือคนต่ำต้อย คนยากจนเข็ญใจได้รับการประกาศพระวรสาร กลายเป็นศิษย์ของพระองค์ ชุมนุมกัน “ในพระนามของพระองค์” ในที่ประชุมใหญ่ของบรรดาผู้ที่เชื่อถือพระองค์ เพราะพระเยซูองค์นี้ซึ่งทรงประกาศว่า “เราต้อ งประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย” (ลก 4 : 43) นั้น เป็นพระเยซูคริสตเจ้าองค์เดียวกับที่ยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารกล่าวว่า ได้เสด็จมาและต้องสิ้นพระชนม์ “เพื่อรวบรวมบรรดาบุตรของพระเจ้าทรงกระจัดกระจายอย ู่ให้กลับเป็นหนึ่งเดียวกัน” (ยน 11: 52)  ดังนี้ พระองค์ก็ทรงทำให้การไขแสดงของพระองค์เป็นอันสำเร็จไป โดยทำให้ครบถ้วนและยืนยันด้วยการเผยถึงพระองค์เอง ด้วยพระวาจาและการกระทำ ด้วยเครื่องหมายสำคัญและอัศจรรย์ และโดยเฉพาะการสิ้ นพระชนม์และกลับคืนพระชนม์ อีกทั้งการใช้พระจิตแห่งความจริงมา (เทียบสังฆธรรมนูญแห่งพระสังคายนาวาติกันที่ 2 เรื่องการเผยของพระเป็นเจ้าข้อ 4)

เพื่อกลุ่มชนที่ได้รับการประกาศพระวรสารและจะเป็นผู้ประกาศพระวรสารต่อไป

13. ผู้ที่รับเอาข่าวประเสริฐอย่างจริงใจนั้น เนื่องจากได้รับและร่วมมีความเชื่อด้วย จึงชุมนุมกันในนามของพระเยซูเจ้า เพื่อที่จะร่วมแสวงหา เสริมสร้างและทำให้เป็นจริงในชีวิตของเขา เขารวมกันเป็นกลุ่มหนึ่งซึ่งบัดนี้ถึงคราวที่จะเป็นผู้ประกาศพระวรสารบ้าง คำสั่งที่อัครธรรมทูตสิบสองท่านได้รับว่า “ท่านจงไปประกาศข่าวประเสริฐ” นั้นเป็นคำสั่งที่มีถึงคริสตชนทุกคนด้วย แม้จะเป็นวิธีไม่เหมือนกัน เพราะเหตุนี้แหละนักบุญเปโตรจึงเรียกบรรดาคริสตชนว่าเป็น “ประชากรที่เป็นกรรมสิทธิ์ พิเศษของพระเจ้า เพื่อจะประกาศพระฤทธานุภาพของพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านจากความมืดสู่ความสว่างที่น่าพิศวงของพระองค์” (1 ปต 2 : 9) นี่คือมหัศจรรย์ซึ่งแต่ละคนได้ยินได้ฟังเป็นภาษาของตน (เทียบ กจ 2:11)  อันที่จริง ข่าวประเ สริฐเกี่ยวกับพระราชัยซึ่งมาถึงและได้เริ่มอุบัติขึ้นแล้วนั้น เป็นข่าวสำหรับมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัย ผู้ที่ได้รับแล้วได้ถูกรวมให้เข้าอยู่ในกลุ่มความรอด ก็สามารถถ่ายทอดและกระจายข่าวนั้นไป และต้องทำด้วย

การประกาศพระวรสารเป็นหน้าที่โดยตรงของพระศาสนจักร

14. พระศาสนจักรรู้ข้อนี้ดี และมีความสำนึกอย่างแรงว่า พระวาจาของพระคริสตเจ้าที่ว่า “เราต้องประกาศข่าวดีเรื่อ งพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย เพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อการนี้” (ลก 4 : 43) นั้น เป็นคำที่ใช้กับพระศาสนจักรเองอย่างแท้จริง พระศาสนจักรเต็มใจกล่าวต่อไปเหมือนนักบุญเปาโลว่า “ในการประกาศข่าวดีข้าพเจ้าไม่รู้สึกภูมิใจแ ม้แต่น้อย เพราะข้าพเจ้าจำต้องประกาศอยู่แล้ว หากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวดี ข้าพเจ้าย่อมได้รับความวิบัติ” (1 คร 9 : 16)

เมื่อสิ้นการประชุมสมัชชาพระสังฆราชในปี ค.ศ.1974เรามีความยินดีและบรรเทาใจที่ได้ยินถ้อยคำน่าฟังนี้ว่า “เราใค ร่ยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า งานประกาศพระวรสารแก่ชนทุกชาตินั้นเป็นหน้าที่สำคัญของพระศาสนจักร” อันงานและหน้า ที่นี้เมื่อสังคมในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวาง ก็ยิ่งทำให้เป็นงานและหน้าที่ที่เร่งด่วนยิ่งขึ้นแท้จริง การประกาศรพระวรส ารเป็นพระคุณและหน้าที่โดยเฉพาะของพระศาสนจักร เป็นลักษณะที่ลึกซึ้งที่สุดของพระศาสนจักร พระศาสนจักรนั้นมีไว้เพื่อประกาศพระวรสาร คือ เพื่อเทศนาและสอน เพื่อเป็นสื่อนำพระหรรษทาน เพื่อช่วยคนบาปให้กลับคืนดีกับพระเป็นเจ้า และเพื่อสืบ การถวายบูชาของพระคริสตเจ้าในพิธีมิสซา ซึ่งเป็นพิธีระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ และกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ของพระองค์

สายสัมพันธ์ระหว่างพระศาสนจักร กับการประกาศพระวรสาร

15. ผู้ใดอ่านทบทวนต้นกำเนินของพระศาสนจักรในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ติดตามประวัติของพระศาสนจักรที ละก้าว มองดูพระศาสนจักรดำรงชีวิตและปฏิบัติการ ผู้นั้นคงจะเห็นว่า ความเป็นอยู่ของพระศาสนจักร (สภาพ) อยู่ที่ต้องประกาศพระวรสาร

-  พระศาสนจักรเกิดจากงานประกาศพระวรสารของพระเยซูเจ้าและอัครธรรมทูต 12 ท่าน พระศาสนจักรเป็นผลที่ต้องเกิดจากการประกาศพระวรสารดังกล่าว เป็นผลที่เกิดตามความมุ่งหมาย เป็นผลที่เกิดครั้งแรกและเห็นได้ตามที่พระคริสตเจ้าตรัสว่า “ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา” (มธ 28: 19) “คนเหล่านั้นรับถ้อยคำของเปโตรและได้รับศีลล้างบาป วันนั้นผู้มีความเชื่อมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกประมาณสามพันคน...องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้จำนวนผู้ ที่ได้รับความรอดพ้นเพิ่มขึ้นทุกวัน” (กจ 2: 41,47)

- พระศาสนจักรเกิดจากการที่พระเยซูเจ้าทรงรับใช้มาบัดนี้ถึงคราวที่พระเยซูเจ้าทรงใช้พระศาสนจักรไปบ้าง เมื่อพระองค์เสด็ จกลับไปหาพระบิดาแล้ว พระศาสนจักรยังคงอยู่ในโลกต่อไป อยู่เป็นเครื่องหมายซึ่งบางครั้งล้ำลึกไม่เด่นชัด บางครั้งก็เห็นชัดทีเดียวของการประทับอยู่แบบใหม่ขององค์พระเยซู ผู้เสด็จจากไปแล้วและประทับอยู่ตลอดไป พระศาสนจักรเป็นตัวแทนที่ทำให้ พระเยซูเจ้าอยู่ต่อไป แต่โดยเฉพาะพระศาสนจักรมีหน้าที่ต้องสืบทอดภารกิจและฐานะของพระเยซูเจ้าซึ่งเป็นผู้ประกาศพระวรสาร (สังฆธรรมนูญเรื่องพระศาสนจักรข้อ 8; สมณกฤษฎีกาเรื่องงานธรรมทูตแห่งพระศาสนจักร ข้อ 5) เพราะกลุ่มคริสตชนจ ะไม่มุ่งคิดถึงแต่ตนเองเท่านั้น ชีวิตภายในพระศาสนจักรซึ่งเป็นชีวิตภาวนา ฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้าและคำสั่งสอนของบรรดาอัครธรรมทูต อยู่กันฉันพี่น้องและร่วมในพิธีหักปังด้วยกัน จะมีความหมายอย่างแท้จริงเมื่อพระศาสนจักรเป็นพยานให้องค์พ ระคริสตเจ้า ทำให้มนุษย์ประหลาดใจและกลับใจ เป็นชีวิตที่ต้องประกาศพระวรสารอันเป็นข่าวประเสริฐ ดังนี้จะเห็นได้ว่าพระศาสนจักรทั้งพระศาสนจักรได้มอบหน้าที่ประกาศพระวรสาร และงานของสมาชิกแต่ละคนนับว่ามีความสำคัญสำหรับส่วนรวม

- พระศาสนจักรเป็นผู้ประกาศพระวรสาร แต่ก่อนอื่นต้องประกาศพระวรสารให้แก่ตนเอง พระศาสนจักรเป็นกลุ่มชีวิตรวม ที่แบ่งปันความเชื่อและความหวังร่วมกันและพยายามประกาศพร้อมทั้งสื่อการดำเนินชีวิตของตนแก่ผู้อื่น เป็นกลุ่มชนที่มีความรักกั นฉันพี่น้อง เป็นสิ่งจำเป็นที่พระศาสนจักรควรตั้งใจฟังความจริงซึ่งตนเชื่ออย่างสม่ำเสมอ รากฐานของความหวังตั้งอยู่บนบัญญัติใหม่แห่งความรักซึ่งกันและกัน พระศาสนจักรเป็นประชากรของพระเป็นเจ้าที่อยู่ในกลางโลกและถูกความฟุ้งเฟ้อในโลกประ จญอยู่บ่อยๆ ตลอดเวลาต้องการจะได้ยินประกาศถึง “กิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของเรา” (กจ 2 : 11, 1 ปต 2:9) ซึ่งทำให้พระศาสนจักรกลับหันมาหาพระองค์และต้องการให้พระองค์ทรงเรียกมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดไ ป พูดอย่างสรุป ที่กล่าวมานี้หมายความว่าถ้าใคร่รักษาความใหม่เสมอความกระตือรือร้นและพลังสำหรับประกาศพระวรสารแล้ว พระศาสนจักรนั่นเองจะต้องการรับการประกาศพระวรสารอยู่เสมอๆ สภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ก็ได้ย้ำเตือน (สมณกฤษฎีกาเ รื่องงานธรรมทูตแห่งพระศาสนจักร ข้อ 5) และสมัชชาพระสังฆราชในปี ค.ศ.1974 ก็ได้หยิบยกเรื่องนี้กลับมาพูดอีกอย่างแข็งขัน คือ เรื่องพระศาสนจักรต้องประกาศพระวรสารแก่ตนเองด้วยการกลับตัวและฟื้นตนอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้แพร่พระวรสารแ ก่โลกอย่างน่าเชื่อถือ

- พระศาสนจักรเป็นผู้รับฝากข่าวประเสริฐที่จะต้องนำไปประกาศ คำสัญญาต่างๆ ในพันธสัญญาใหม่สำเร็จไปในองค์พระคริส ตเจ้าก็ดี คำสั่งสอนของพระองค์และขอบรรดาอัครธรรมทูตก็ดี พระวาจาแห่งชีวิตก็ดี บ่อเกิดแห่งพระหรรษทานและพระทัยดีของพระเป็นเจ้าก็ดี หนทางแห่งความรอดก็ดี สิ่งทั้งหมดนี้ได้ฝากไว้กับพระศาสนจักร เป็นอันว่าพระศาสนจักรพิทักษ์ข้อความในพ ระวรสาร ซึ่งหมายถึงข้อความอันเกี่ยวโยงกับการประกาศพระวรสารพิทักษ์ไว้เป็นมรดกอันประเสริฐ มิใช่เพื่อเก็บซ่อนไว้ แต่เพื่อนำไปเผยแพร่ต่อไป

- เมื่อถูกใช้ไปและรับการประกาศสอนแล้ว พระศาสนจักรก็ส่งผู้ประกาศพระวรสารไปบ้าง พระศาสนจักรสอนให้เขากล่าวพระวาจาแห่งการช่วยให้รอด ถ่ายทอดคำสอนที่ได้รับฝาก มอบอำนาจที่ได้รับ และให้เขาไปเทศน์สอนมิใช่เทศน์สอนเรื่องตัวของเข าหรือความคิดส่วนตัวของเขา (เทียบ 2 คร 4 : 5) แต่เทศน์สอนพระวรสาร ซึ่งเขาเองหรือพระศาสนจักรมิใช่นายสูงสุดหรือเจ้าของที่จะบงการสั่งได้ตามใจชอบ แต่เป็นผู้รับใช้ที่จะถ่ายทอดต่อไปด้วยความสัตย์ซื่อ

พระศาสนจักรแยกจากพระคริสตเจ้าไม่ได้

16. ฉะนั้นจึงมีความเกี่ยวพันอย่างแน่นแฟ้นระหว่างพระคริสตเจ้า พระศาสนจักรและการประกาศพระวรสาร ในยุคของ พระศาสจักรที่เรากำลังดำรงชีวิตอยู่ขณะนี้ พระศาสนจักรมีภาระหน้าที่ต้องประกาศพระวรสาร ภาระหน้าที่นี้จะปฏิบัติกันไปโดยไม่มีพระศาสนจักรไม่ได้ และยิ่งจะปฏิบัติไปในทางต่อต้านพระศาสจักรก็ยิ่งไม่ได้

เป็นการสมควรแน่ที่จะกล่าวเตือนเรื่องนี้ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเราอาจจะต้องสลดใจได้ยินคนบางคน ที่เราอยากเชื่อว่ามีเจต นาดี แต่จิตใจหลงไขว้เขวไปจริง และพูดอ้างเสมอว่าเขาพร้อมที่จะรักพระคริสตเจ้า แต่ไม่ต้องรักพระศาสจักร เขาเชื่อฟังพระคริสตเจ้า แต่ไม่อยากเชื่อฟังพระศาสนจักรเขาขึ้นกับพระคริสตเจ้า แต่ไม่อยากขึ้นกับพระศาสนจักร จะเห็นได้ชัดว่า การแยกแ ยะเช่นนี้เป็นเรื่องไร้เหตุผลไร้สาระ ถ้าพิจารณาคำในพระวรสารต่อไปนี้ คือ “ผู้ที่สบประมาทเรา ก็สบประมาทผู้ที่ทรงส่งเรามา” (ลก 10 :16) เป็นไปได้อย่างไรที่จะรักพระคริสตเจ้าโดยไม่รักพระศาสนจักร เพราะคำที่กล่าวถึงพระคริสตเจ้าอย่างไพเราะจับใจที่สุดก็คือ คำของนักบุญเปาโลที่ว่า “พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร และทรงพลีพระองค์เพื่อพระศาสนจักร” (อฟ 5 : 25)